line

line

Tuesday, March 8, 2016

ทริปแตะขอบฟ้า เปรู-บราซิล Day 4 : Cusco - Sacsaywaman - Tumbomarchay - Pisaq - Urubamba

ขณะเขียนนี้ กำลังนั่งแช่เท้าอย่างสบายใจเฉิบในโรงแรม Hacienda Valley หรูหราดีสุด ๆ แบบครบครัน ห้องน้ำแยก Toilet, Bathtub และ Shower อยู่ห้อง 911 ริมสุดกำแพงของรีสอร์ท คืนละประมาณ 2,600 บาท

นอนสบายได้ไม่เท่าไร เราก็ตื่นกันตั้งแต่ 05:30 น. (แอบยังปวดหัวตอนตื่นนอน) เพราะนัดคนขับรถ Gian Carlo ไว้ตอน 08:00 น. ออกมาจากห้องปุ๊ป Tito ก็มาทักทายอย่างร่าเริงตามเคย

07:00 น. Michel เจ้าของเกสเฮ้าส์ ก็ตื่นมาทำอาหารให้เราทานแบบหน้าตาดูไม่จืด คือเหมือนเพิ่งตื่นและลุกจากที่นอนมาเพื่อเรา...อาหารเช้าเฉย ๆ มาก คือ ไข่คนสไตล์เปรู ขนมปัง และน้ำผลไม้...สิ่งนึงที่ชอบในประเทศนี้คือน้ำผลไม้คั้นสดทุกที่ ต่อให้เจ้าของจะเพิ่งตื่นนอนมาทำก็ตาม

วิวยามเช้า จากห้องนอน

















08:00 น. ฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ที่ Hostel นี้ และ Gian Carlo ก็มารับตรงเวลาเป๊ะ เป็น Honda Civic สีแดง
อย่างดี คนขับดูเป็นเด็กหนุ่มฮิป ๆ แต่นิสัยดี เสียดายแทบพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่เค้าก็ฉลาดพอที่จะพึ่ง google translate และเราก็ใช้ภาษาอิตาเลียนคุยกับเค้าได้บ้าง

อาการ AMS (อาการแพ้ความสูง) ของเรายังคงอยู่ค่อนข้างชัด คือปวดหัวเนือย ๆ แต่ในใจคิดว่าพอไหว

Stop แรกอยู่ไม่ไกลจาก Cusco คือ Sacsaywaman ป้อมปราการสมัยชาวอินคา สร้างด้วยหินขนาดมหึมา วางเรียนต่อในกันรูปแบบที่น่าทึ่ง ว่ากันว่า ถ้า Cusco ถูกวาง layout เมืองให้เป็นรูปเสือ Puma ตรงป้อมปราการนี้ ก็คือส่วนหัว และ Plaza Armas ก็คือหัวใจ

ก้อนหินขนาดใหญ่ ถูกเจียร และเรียงต่อกันได้อย่างแนบสนิท ขนาดกระดาษยังผ่านไม่ได้
ทางเข้ากับทางออกของ Sacsaywaman นี้อยู่กันคนละที่ คนขับรถพูดสเปนมา แต่เราพอเข้าใจจากท่าทาง ปากทางเข้า Sacsaywaman นี้ เราซื้อตั๋ว คอมโบ ของการชมสถานที่ท่องเที่ยวแถบ Cusco นี้ไปเลย นั่นคือรวมแทบจะทุกค่าเข้าชมในแถบนี้ ยกเว้นเหมืองเกลือ Moray ที่ต้องจ่ายแยก

ตรง Sacsaywaman นี้เดินไม่ลำบากเท่าไร เดินบนทางเรียบ ๆ ถ่ายรูปสวย ๆ พร้อมกับตัวอัลปาก้าที่ออกมาเล์มหญ้า ส่วนความรู้อื่น ๆ เกี่ยวกับที่นี่ ก็อาศัยเกาะกลุ่มทัวร์ที่เค้าบรรยายเป็นภาษาอังกฤษฟังไปพลาง

ความน่าทึ่งของการเรียงหิน

เหลี่ยมเล็กเหลี่ยมน้อย เก็บหมด
จากป้อมปราการนี้ เราจะมองเห็นเมือง Cusco และ Plaza Armas ได้อย่างชัดเจน

อัลปาก้า โผล่มาให้ตื่นเต้น รู้มุมที่ต้องหยุดด้วยนะ
จาก Sacsaywaman ไม่ไกลนัก ก็ไปถ้ำ Qenco ซึ่งถ้าถามว่ามีอะไรไหม ก็คือไม่ต้องลงก็ได้ มันคือแท่นบูชมยัน มีตั้งแต่แท่นทำมัมมี่ เตาเผาเครื่องใน นิดเดียวจริง ๆ อ้อ..แล้วก็มีบันได 3 ขั้น ที่คนอินคาให้ความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์กับมันมาก

ภายในถ้ำ Qenco มีแค่นี้จริง ๆ
อยู่ที่ Qenco ไม่ถึงห้านาที ก็ไปต่อที่ Pukapukara (พูดถึงทีไรนึกว่าตัวการ์ตูน PucaPuca) ว่ากันว่า Pukapukara นี้คือจุดสูงสุดใน Cusco ใช้ทำเป็น Watch Tower และเป็นสถานที่ที่ให้เราชมวิวของหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Valley)

บริเวณของ Pukapukara ไม่ใหญ่มาก เราก็เดินวนไปวนมา ขึ้นลง
ทางเข้า Pukapuka มีของที่ระลึกขายเต็มเลย เราว่าราคาที่นี่โอเคสุดนะ ต่อกับเค้าหน่อย
**เอาละ พอมาถึงจุดนี้...อาการ AMS ของเราก็เริ่มกำเริบหนักขึ้นจริงจังหลังจากพยายามอดทนมา นั่นคือ ปวดหัวมากและมึน วิงเวียนมาก อยากจะนอนตลอดเวลา เรียกว่า ง่วงมาก ๆ อยากจะสลบไปตรงนั้นเลย แต่เราก็อดทนไป ยังไม่สำเหนียกว่านี่คืออาการ AMS**

สลบมาในรถได้ไม่ถึงสองนาที ก็มาถึง Tumbomarchay ที่อาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์อินคาสมัยก่อน จากทางเข้าไปจนถึงตัวโบราณสถานนั้นประมาณ 300 เมตร

**ซึ่งปรากฏว่า พอเราลงมาจากรถ หัวก็เบลอมาก เดินไปนี่เหมือนคนเมาเหล้า ไม่สามารถเดินตรงได้ เราก็เลยบอกเพื่อนว่า รู้สึกวิงเวียนเหมือนจะหลับให้ได้ (ยังไม่รู้ตัวว่าเป็นอาการ AMS) เพื่อนก็คิดว่าเราสำออยเลยบอกให้เดิน ๆ ต่อไปเถอะ T_T ... ทางเดินแค่ 300 เมตรนั้นก็ยาวเหมือน 1 กิโลเมตร เราลากตัว+สติ(อันน้อยนิด) ไปจนถึง Tumbomarchay จนได้**

สมัยที่มันยังใช้งานได้เต็มรูปแบ คงอลังการน่าดู


ภาพที่เห็นเบื้องหน้า หลังจากลากตัวเองมาถึง คือวิทยาการอันซับซ้อนก้าวไกล ละเมียดละไมสุด ๆ ของชาวอินคา ที่สามารถต่อท่อน้ำมาจากแหล่งน้ำซึ่งไกลไปหลายกิโลเมตรมาถึงตรงนี้ได้ (แต่ด้วยข้อจำกัดว่าสมองเบลอมาก จึงไม่สามารถรับรู้อื่น ๆ ใดได้อีก)

จนปัจจุบัน น้ำก็ยังไหลได้อย่างดี

เราเดินอยู่ใน Tumbomarchay ได้ไม่ถึง 15 นาที เพื่อนเห็นอาการ ก็เริ่มเข้าใจว่าไม่ได้สำออย เลยพาเดินกลับมาที่รถ พร้อมกับบอกว่า "สงสัยเธอเป็นอาการแพ้ความสูง" เท่านั้นแหละ...เลยเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร (คือตอนที่มันมึน มันนึกไม่ออกจริง ๆ นะ)

สติมา ปัญญาเกิด...ถึงรถปุ๊ป ก็ซื้อน้ำมาดื่มไปเลยทันที 1 ขวด เพราะรู้ว่าเกิดอาการแบบนี้เพราะเราประมาท กินน้ำน้อยเกินไปนั่นเอง // เพื่อนก็ช่างแสนดี บอกกับเราว่า ให้เราข้าม Pisaq ไปนอนพักที่โรงแรมเลยดีกว่า ไอ้เราก็แบบเกรงใจเพื่อนมาก เพราะนางอยากไป Pisaq แต่นางก็ยืนยันว่าให้ไปนอนพักที่โรงแรมเลยดีกว่า....ซึ่งใจมาก

จากวินาทีที่ดื่มน้ำหมดขวด เราขึ้นรถแล้วก็น้อคหลับไปเลย รู้ตัวอีกทีคือมาตื่นที่หมู่บ้านทำผลิตภัณฑ์จากขนลามะและอัลปาก้า แต่ตอนนั้นหูตาพร่ามัวไปหมด รู้แค่ว่าต้องการห้องน้ำไปอาเจียน พอรถจอดปุ๊ปเราก็พุ่งไปอาเจียนในห้องน้ำทันที (ห้องน้ำที่นี่คือห้องน้ำที่ดีที่สุดในบรรดาห้องน้ำของสถานที่ท่องเที่ยวและร้านอาหารใน Cusco)

**************** ผ่านไป 15 นาที หลังไปอาเจียนในห้องน้ำ ****************

ออกมาจากห้องน้ำได้ ก็พุ่งหาน้ำดื่มทันที ไม่ใช่แค่น้ำดื่ม ยังต้องหาชา Coca Tea ดื่มด้วย ตอนนั้น Gian Carlo เอาสมุนไพรชื่อ Muña (มุนย่า) มาถู ๆ กับมือแล้วให้เราดม ..... จากตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำ พอได้ทั้งดื่มน้ำ ดื่มชม และได้ดม  Muña แล้ว อากา AMS ทั้งหมดก็หายเป็นปลิดทิ้ง เรียกได้ว่า ปลิดทิ้งเลย ไม่รู้สึกวิงเวียน มึนอะไรอีกเลยทั้งสิ้น ...ดีด ได้เหมือนเดิม

สถานที่เลี้ยง ลามะ และ อัลปาก้า เพื่อเอาขนมาทำผลิตภัณฑ์ขาย
ชาใบโคคาสด ที่ช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ (ไอ้ซองส้ม ๆ นั่นก็เป็นชาโคคาแต่เค้าให้เราเอากลับบ้าน)
สนับสนุนชา และน้ำดื่มเค้าไปพอควร แต่ซื้อผลิตภัณฑ์ขนอัลปาก้าไม่ไหวจริง ๆ ราคาแพงขนาดนั้น..

อาหารกลางวันเราเลือกทานกันใน Pisaq Square เลย ใจจริงอยากได้อาหาร Local แต่ดันไปพูดกับคนขับรถว่า "Ristorante Locale" ใจเราเข้าใจว่า ร้านอาหาร แต่คนขับเค้าเข้าใจไปว่าเป็น ร้านอาหารแบบที่เป็นร้านอาหารจริงๆ คนขับเลยพาเราไปร้านที่ดูดี แต่ปร๊าดเดียวเราก็มองไปได้ว่า มีแต่ tourist และคิดว่าต้องแพงแน่นอน ไว้ฟัน tourist เราเลยหันไปบอกับคนขับอีกว่า ไม่ใช่ร้านแบบนี้ ไม่รู้จะสื่อยังไงให้สุภาพ เพราะพอสุภาพไปก็ไม่เข้าใจกัน สุดท้ายเลยบอกไปว่า "I want cheap restaurant, I have no money. I want restaurant people in this village eat" เอาวะ ง่าย ๆ แบบนี้

Gian Carlo ยิ้มและขำพวกเรามาก แต่สุดท้ายก็พาไปร้านที่ บ้าน ๆ จริง ๆ เมนูยังไม่มีภาษาอังกฤษเลย โชคดีได้รากศัพท์แบบอิตาเลียนช่วยไว้ ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยสักคน จำชื่อร้านไม่ได้ แต่อาหารอร่อยมาก ถูกปาก ที่สำคัญถูกด้วย กินกันแบบเลี้ยง Gian Carlo ด้วย ตกแค่ 27 Soles (ประมาณ 270 บาท)

เมือง Pisaq น่ารักสีสันสดใสมาก นี่คือภาพที่ออกมาจากร้านอาหารแล้วหันขวาและกด shutter เลย
ติดกับร้านอาหาร คือ Pisaq Square เผิน ๆ เหมือน night bazaar เชียงใหม่เพราะของที่วางขาย ทั้งลายและลักษณะเหมือนของชาวเขามาก สรุปคือเราเลยไม่กล้าซื้อเพราะมันเหมือนของเชียงใหม่มากเกินไป

ท้องอิ่ม AMS ไม่มีอีกต่อไป เราก็ลุยกันต่อที่ Pisaq Ruin ....

Sacred Valley ที่ Gian Carlo จอดรถให้เราถ่ายรูป
ตอนแรกกะว่าจะไปเดินชมกันเอง แต่พอเห็นขนาดสถานที่ เราก็ตัดสินใจใช้ไกด์ ซึ่งตกลงราคากันที่หน้า Pisaq Ruin นั่นแหละ สำคัญคือเค้าต้องพูดภาษาอังกฤษแบบที่เราเข้าใจเค้าและเค้าเข้าใจคำถามเราด้วย สรุปคือเราได้คนพื้นเมืองมาช่วยอธิบาย Pisaq Ruin ให้ที่ราคา 60 Soles (ประมาณเกือบ 600 บาท) ตอนแรกคิดว่าแพงไปหน่อย แต่ก็คิดว่ากระจายรายได้

ขั้นบันไดการเพาะปลูก วิทยาการและภูมิปัญญาของชาวอินคา ที่รู้ว่าอากาศและความสูง มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช
ภาพถ่ายใกล้ ๆ ซึ่งจริง ๆ มันกว้างใหญ่มาก
มีขั้นบันไดหลายแบบ ไว้ปลูกพืช ซึ่งแต่ละแบบก็ปลูกคนละอย่าง อันนี้คาดว่าสำหรับปลูกดอกไม้
วิวสวยมาก แต่เดินแฮ่กอยู่เหมือนกัน
ประตูทางเข้าของชาวอินคาสมัยก่อน
ประทับใจกับปฏิทินการปลูกพืชของชาวอินคามาก เป็นของไกด์ ไกด์บอกไม่มีขาย เค้าไม่ขายด้วย เพราะเค้าแกะสลักเอง
เต็มอิ่มกับ Pisaq Ruin แล้วก็เกือบสี่โมง มุ่งหน้าต่อไปคือ Urubamba ประเด็นที่จองที่นอนที่นี่ ไม่ใช่อะไรเลย คือมีคนชมมากมายว่าเป็นอีกเมืองที่สวยงาม ซึ่งเอาเข้าจริง เราสองคนก็ไ่ม่ได้ชื่นชมเมืองอะไรเลย เพราะที่พัก Hacienda Valley นั้นอยู่ลึกเข้าไปในซอกหลืบหุบเขามาก

ตอนนั่งรถเข้าไป ทางก็ขรุขระ ฝุ่นตลบ แต่พอเห็นที่พักเท่านั้นแหละ ทุกอย่างหายเหนื่อย เราสองคนได้แต่ร้อง "ว้าว ว้าว" แม้แต่ Gian Carlo เองยังบอกว่า น่าจะมาถึงเร็วกว่านี้ ที่พักสวยมาก

ห้องพักใหญ่โต ที่นอนกลิ้งเกลือกได้ ตามความพอใจ
วิวจากระเบียงห้องพัก
วิวจากระเบียงห้องพัก
บ้านพักที่นี่ส่วนมากจะเป็นสองชั้น เป็นหลัง ๆ พักแยกชั้นล่าง และชั้นบน ตลอดรีสอร์ทมีลำธารน่ารักเล็ก ๆ 
ดิฉันกรี๊ดกร๊าดมากค่ะ
ส่วนของร้านอาหาร
ตอนเย็น ๆ ก่อนค่ำ ทางรีสอร์ทก็จะให้ชาวบ้านเอาของมาขาย
ประมาณเกือบทุ่มนึง เราก็ไปทานอาหารค่ำกัน เรียกได้ว่าเป็นอาหารค่ำมื้อแรกในทริปนี้ ที่เรียกได้ว่าเป็นอาหารจริง ๆ ไม่ใช่กระปิดกระปอยเหมือนที่ผ่านมา

ราคาอาหารไม่แพง แต่ไซส์จานที่เสิร์ฟนั้นเหมือนที่กินบ้านเรา (คือเล็กกว่าไซส์ที่เค้าเสิร์ฟในเมือง) เราสองคนสั่งกันมาสองอย่างคือ Salad Tailandese (ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับไทยทั้งสิ้น มันคือ ผักสลัดและผลไม้ ราดน้ำผึ้งและโรยงา แค่นั้นจริง ๆ) และ Pepper Steak ที่พอกินแล้วนึกถึง Steak ครูต้อ ที่สระบุรีทันที กินกันสองจานแค่นี้ กับน้ำเปล่า เสียไป 58 Soles (ประมาณ 580 บาท)

ชีวิตค่ำวันนี้ดีมาก ขนาดทานอาหารค่ำเสร็จตอนทุ่มครึ่งไปแอบงีบ ตื่นมาอีกทีมาอาบน้ำแช่เท้าอย่างสบายใจ.....ก่อนเพื่อนจะทักมาว่า "พรุ่งนี้รถไฟไป Argus Calientes เค้าให้ถือกระเป๋าเป้ไปได้แค่ใบเดียวนะ"

หันมามองกระเป๋าเป้ กระเป๋าผ้าแบบพับได้ กองผ้าของตัวเอง และของจิปาถะ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมซ้อมโดยการจับทุกอย่างยัดลงเป้

....ไม่ลง...ทำยังไงก็ยัดของไม่ลง เวิ่นเว้อไปพักใหญ่จนเกือบเที่ยงคืนว่าจะทำยังไงดี ยัดของไม่ลง กระเป๋าเพื่อนนั้น นางยัดลงของนางได้ แต่ก็เป๊ะมาก จนของเราไม่สามรถแทรกเข้าไปได้อีก

กรีดร้อง+โวยวาย ไปพักใหญ่ เพื่อนก็ไล่ให้ไปนอนแล้วค่อยคิดใหม่พรุ่งนี้

ก่อนนอนไม่ลืมออกไปชมความงามของท้องฟ้า และดาว ที่เยอะมว๊ากกกกกก
ฟ้าใสแจ๋ว ขนาดมองเห็นทางช้างเผือกได้เลย เสียดายมีไฟของรีสอร์ท ทำให้ถ่ายทางช้างเผือกไม่ได้

No comments:

Post a Comment

Blogger templates