line

line

Tuesday, March 8, 2016

ทริปแตะขอบฟ้า เปรู-บราซิล Day 4 : Cusco - Sacsaywaman - Tumbomarchay - Pisaq - Urubamba

ขณะเขียนนี้ กำลังนั่งแช่เท้าอย่างสบายใจเฉิบในโรงแรม Hacienda Valley หรูหราดีสุด ๆ แบบครบครัน ห้องน้ำแยก Toilet, Bathtub และ Shower อยู่ห้อง 911 ริมสุดกำแพงของรีสอร์ท คืนละประมาณ 2,600 บาท

นอนสบายได้ไม่เท่าไร เราก็ตื่นกันตั้งแต่ 05:30 น. (แอบยังปวดหัวตอนตื่นนอน) เพราะนัดคนขับรถ Gian Carlo ไว้ตอน 08:00 น. ออกมาจากห้องปุ๊ป Tito ก็มาทักทายอย่างร่าเริงตามเคย

07:00 น. Michel เจ้าของเกสเฮ้าส์ ก็ตื่นมาทำอาหารให้เราทานแบบหน้าตาดูไม่จืด คือเหมือนเพิ่งตื่นและลุกจากที่นอนมาเพื่อเรา...อาหารเช้าเฉย ๆ มาก คือ ไข่คนสไตล์เปรู ขนมปัง และน้ำผลไม้...สิ่งนึงที่ชอบในประเทศนี้คือน้ำผลไม้คั้นสดทุกที่ ต่อให้เจ้าของจะเพิ่งตื่นนอนมาทำก็ตาม

วิวยามเช้า จากห้องนอน

















08:00 น. ฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ที่ Hostel นี้ และ Gian Carlo ก็มารับตรงเวลาเป๊ะ เป็น Honda Civic สีแดง
อย่างดี คนขับดูเป็นเด็กหนุ่มฮิป ๆ แต่นิสัยดี เสียดายแทบพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่เค้าก็ฉลาดพอที่จะพึ่ง google translate และเราก็ใช้ภาษาอิตาเลียนคุยกับเค้าได้บ้าง

อาการ AMS (อาการแพ้ความสูง) ของเรายังคงอยู่ค่อนข้างชัด คือปวดหัวเนือย ๆ แต่ในใจคิดว่าพอไหว

Stop แรกอยู่ไม่ไกลจาก Cusco คือ Sacsaywaman ป้อมปราการสมัยชาวอินคา สร้างด้วยหินขนาดมหึมา วางเรียนต่อในกันรูปแบบที่น่าทึ่ง ว่ากันว่า ถ้า Cusco ถูกวาง layout เมืองให้เป็นรูปเสือ Puma ตรงป้อมปราการนี้ ก็คือส่วนหัว และ Plaza Armas ก็คือหัวใจ

ก้อนหินขนาดใหญ่ ถูกเจียร และเรียงต่อกันได้อย่างแนบสนิท ขนาดกระดาษยังผ่านไม่ได้
ทางเข้ากับทางออกของ Sacsaywaman นี้อยู่กันคนละที่ คนขับรถพูดสเปนมา แต่เราพอเข้าใจจากท่าทาง ปากทางเข้า Sacsaywaman นี้ เราซื้อตั๋ว คอมโบ ของการชมสถานที่ท่องเที่ยวแถบ Cusco นี้ไปเลย นั่นคือรวมแทบจะทุกค่าเข้าชมในแถบนี้ ยกเว้นเหมืองเกลือ Moray ที่ต้องจ่ายแยก

ตรง Sacsaywaman นี้เดินไม่ลำบากเท่าไร เดินบนทางเรียบ ๆ ถ่ายรูปสวย ๆ พร้อมกับตัวอัลปาก้าที่ออกมาเล์มหญ้า ส่วนความรู้อื่น ๆ เกี่ยวกับที่นี่ ก็อาศัยเกาะกลุ่มทัวร์ที่เค้าบรรยายเป็นภาษาอังกฤษฟังไปพลาง

ความน่าทึ่งของการเรียงหิน

เหลี่ยมเล็กเหลี่ยมน้อย เก็บหมด
จากป้อมปราการนี้ เราจะมองเห็นเมือง Cusco และ Plaza Armas ได้อย่างชัดเจน

อัลปาก้า โผล่มาให้ตื่นเต้น รู้มุมที่ต้องหยุดด้วยนะ
จาก Sacsaywaman ไม่ไกลนัก ก็ไปถ้ำ Qenco ซึ่งถ้าถามว่ามีอะไรไหม ก็คือไม่ต้องลงก็ได้ มันคือแท่นบูชมยัน มีตั้งแต่แท่นทำมัมมี่ เตาเผาเครื่องใน นิดเดียวจริง ๆ อ้อ..แล้วก็มีบันได 3 ขั้น ที่คนอินคาให้ความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์กับมันมาก

ภายในถ้ำ Qenco มีแค่นี้จริง ๆ
อยู่ที่ Qenco ไม่ถึงห้านาที ก็ไปต่อที่ Pukapukara (พูดถึงทีไรนึกว่าตัวการ์ตูน PucaPuca) ว่ากันว่า Pukapukara นี้คือจุดสูงสุดใน Cusco ใช้ทำเป็น Watch Tower และเป็นสถานที่ที่ให้เราชมวิวของหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Valley)

บริเวณของ Pukapukara ไม่ใหญ่มาก เราก็เดินวนไปวนมา ขึ้นลง
ทางเข้า Pukapuka มีของที่ระลึกขายเต็มเลย เราว่าราคาที่นี่โอเคสุดนะ ต่อกับเค้าหน่อย
**เอาละ พอมาถึงจุดนี้...อาการ AMS ของเราก็เริ่มกำเริบหนักขึ้นจริงจังหลังจากพยายามอดทนมา นั่นคือ ปวดหัวมากและมึน วิงเวียนมาก อยากจะนอนตลอดเวลา เรียกว่า ง่วงมาก ๆ อยากจะสลบไปตรงนั้นเลย แต่เราก็อดทนไป ยังไม่สำเหนียกว่านี่คืออาการ AMS**

สลบมาในรถได้ไม่ถึงสองนาที ก็มาถึง Tumbomarchay ที่อาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์อินคาสมัยก่อน จากทางเข้าไปจนถึงตัวโบราณสถานนั้นประมาณ 300 เมตร

**ซึ่งปรากฏว่า พอเราลงมาจากรถ หัวก็เบลอมาก เดินไปนี่เหมือนคนเมาเหล้า ไม่สามารถเดินตรงได้ เราก็เลยบอกเพื่อนว่า รู้สึกวิงเวียนเหมือนจะหลับให้ได้ (ยังไม่รู้ตัวว่าเป็นอาการ AMS) เพื่อนก็คิดว่าเราสำออยเลยบอกให้เดิน ๆ ต่อไปเถอะ T_T ... ทางเดินแค่ 300 เมตรนั้นก็ยาวเหมือน 1 กิโลเมตร เราลากตัว+สติ(อันน้อยนิด) ไปจนถึง Tumbomarchay จนได้**

สมัยที่มันยังใช้งานได้เต็มรูปแบ คงอลังการน่าดู


ภาพที่เห็นเบื้องหน้า หลังจากลากตัวเองมาถึง คือวิทยาการอันซับซ้อนก้าวไกล ละเมียดละไมสุด ๆ ของชาวอินคา ที่สามารถต่อท่อน้ำมาจากแหล่งน้ำซึ่งไกลไปหลายกิโลเมตรมาถึงตรงนี้ได้ (แต่ด้วยข้อจำกัดว่าสมองเบลอมาก จึงไม่สามารถรับรู้อื่น ๆ ใดได้อีก)

จนปัจจุบัน น้ำก็ยังไหลได้อย่างดี

เราเดินอยู่ใน Tumbomarchay ได้ไม่ถึง 15 นาที เพื่อนเห็นอาการ ก็เริ่มเข้าใจว่าไม่ได้สำออย เลยพาเดินกลับมาที่รถ พร้อมกับบอกว่า "สงสัยเธอเป็นอาการแพ้ความสูง" เท่านั้นแหละ...เลยเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร (คือตอนที่มันมึน มันนึกไม่ออกจริง ๆ นะ)

สติมา ปัญญาเกิด...ถึงรถปุ๊ป ก็ซื้อน้ำมาดื่มไปเลยทันที 1 ขวด เพราะรู้ว่าเกิดอาการแบบนี้เพราะเราประมาท กินน้ำน้อยเกินไปนั่นเอง // เพื่อนก็ช่างแสนดี บอกกับเราว่า ให้เราข้าม Pisaq ไปนอนพักที่โรงแรมเลยดีกว่า ไอ้เราก็แบบเกรงใจเพื่อนมาก เพราะนางอยากไป Pisaq แต่นางก็ยืนยันว่าให้ไปนอนพักที่โรงแรมเลยดีกว่า....ซึ่งใจมาก

จากวินาทีที่ดื่มน้ำหมดขวด เราขึ้นรถแล้วก็น้อคหลับไปเลย รู้ตัวอีกทีคือมาตื่นที่หมู่บ้านทำผลิตภัณฑ์จากขนลามะและอัลปาก้า แต่ตอนนั้นหูตาพร่ามัวไปหมด รู้แค่ว่าต้องการห้องน้ำไปอาเจียน พอรถจอดปุ๊ปเราก็พุ่งไปอาเจียนในห้องน้ำทันที (ห้องน้ำที่นี่คือห้องน้ำที่ดีที่สุดในบรรดาห้องน้ำของสถานที่ท่องเที่ยวและร้านอาหารใน Cusco)

**************** ผ่านไป 15 นาที หลังไปอาเจียนในห้องน้ำ ****************

ออกมาจากห้องน้ำได้ ก็พุ่งหาน้ำดื่มทันที ไม่ใช่แค่น้ำดื่ม ยังต้องหาชา Coca Tea ดื่มด้วย ตอนนั้น Gian Carlo เอาสมุนไพรชื่อ Muña (มุนย่า) มาถู ๆ กับมือแล้วให้เราดม ..... จากตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำ พอได้ทั้งดื่มน้ำ ดื่มชม และได้ดม  Muña แล้ว อากา AMS ทั้งหมดก็หายเป็นปลิดทิ้ง เรียกได้ว่า ปลิดทิ้งเลย ไม่รู้สึกวิงเวียน มึนอะไรอีกเลยทั้งสิ้น ...ดีด ได้เหมือนเดิม

สถานที่เลี้ยง ลามะ และ อัลปาก้า เพื่อเอาขนมาทำผลิตภัณฑ์ขาย
ชาใบโคคาสด ที่ช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ (ไอ้ซองส้ม ๆ นั่นก็เป็นชาโคคาแต่เค้าให้เราเอากลับบ้าน)
สนับสนุนชา และน้ำดื่มเค้าไปพอควร แต่ซื้อผลิตภัณฑ์ขนอัลปาก้าไม่ไหวจริง ๆ ราคาแพงขนาดนั้น..

อาหารกลางวันเราเลือกทานกันใน Pisaq Square เลย ใจจริงอยากได้อาหาร Local แต่ดันไปพูดกับคนขับรถว่า "Ristorante Locale" ใจเราเข้าใจว่า ร้านอาหาร แต่คนขับเค้าเข้าใจไปว่าเป็น ร้านอาหารแบบที่เป็นร้านอาหารจริงๆ คนขับเลยพาเราไปร้านที่ดูดี แต่ปร๊าดเดียวเราก็มองไปได้ว่า มีแต่ tourist และคิดว่าต้องแพงแน่นอน ไว้ฟัน tourist เราเลยหันไปบอกับคนขับอีกว่า ไม่ใช่ร้านแบบนี้ ไม่รู้จะสื่อยังไงให้สุภาพ เพราะพอสุภาพไปก็ไม่เข้าใจกัน สุดท้ายเลยบอกไปว่า "I want cheap restaurant, I have no money. I want restaurant people in this village eat" เอาวะ ง่าย ๆ แบบนี้

Gian Carlo ยิ้มและขำพวกเรามาก แต่สุดท้ายก็พาไปร้านที่ บ้าน ๆ จริง ๆ เมนูยังไม่มีภาษาอังกฤษเลย โชคดีได้รากศัพท์แบบอิตาเลียนช่วยไว้ ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยสักคน จำชื่อร้านไม่ได้ แต่อาหารอร่อยมาก ถูกปาก ที่สำคัญถูกด้วย กินกันแบบเลี้ยง Gian Carlo ด้วย ตกแค่ 27 Soles (ประมาณ 270 บาท)

เมือง Pisaq น่ารักสีสันสดใสมาก นี่คือภาพที่ออกมาจากร้านอาหารแล้วหันขวาและกด shutter เลย
ติดกับร้านอาหาร คือ Pisaq Square เผิน ๆ เหมือน night bazaar เชียงใหม่เพราะของที่วางขาย ทั้งลายและลักษณะเหมือนของชาวเขามาก สรุปคือเราเลยไม่กล้าซื้อเพราะมันเหมือนของเชียงใหม่มากเกินไป

ท้องอิ่ม AMS ไม่มีอีกต่อไป เราก็ลุยกันต่อที่ Pisaq Ruin ....

Sacred Valley ที่ Gian Carlo จอดรถให้เราถ่ายรูป
ตอนแรกกะว่าจะไปเดินชมกันเอง แต่พอเห็นขนาดสถานที่ เราก็ตัดสินใจใช้ไกด์ ซึ่งตกลงราคากันที่หน้า Pisaq Ruin นั่นแหละ สำคัญคือเค้าต้องพูดภาษาอังกฤษแบบที่เราเข้าใจเค้าและเค้าเข้าใจคำถามเราด้วย สรุปคือเราได้คนพื้นเมืองมาช่วยอธิบาย Pisaq Ruin ให้ที่ราคา 60 Soles (ประมาณเกือบ 600 บาท) ตอนแรกคิดว่าแพงไปหน่อย แต่ก็คิดว่ากระจายรายได้

ขั้นบันไดการเพาะปลูก วิทยาการและภูมิปัญญาของชาวอินคา ที่รู้ว่าอากาศและความสูง มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช
ภาพถ่ายใกล้ ๆ ซึ่งจริง ๆ มันกว้างใหญ่มาก
มีขั้นบันไดหลายแบบ ไว้ปลูกพืช ซึ่งแต่ละแบบก็ปลูกคนละอย่าง อันนี้คาดว่าสำหรับปลูกดอกไม้
วิวสวยมาก แต่เดินแฮ่กอยู่เหมือนกัน
ประตูทางเข้าของชาวอินคาสมัยก่อน
ประทับใจกับปฏิทินการปลูกพืชของชาวอินคามาก เป็นของไกด์ ไกด์บอกไม่มีขาย เค้าไม่ขายด้วย เพราะเค้าแกะสลักเอง
เต็มอิ่มกับ Pisaq Ruin แล้วก็เกือบสี่โมง มุ่งหน้าต่อไปคือ Urubamba ประเด็นที่จองที่นอนที่นี่ ไม่ใช่อะไรเลย คือมีคนชมมากมายว่าเป็นอีกเมืองที่สวยงาม ซึ่งเอาเข้าจริง เราสองคนก็ไ่ม่ได้ชื่นชมเมืองอะไรเลย เพราะที่พัก Hacienda Valley นั้นอยู่ลึกเข้าไปในซอกหลืบหุบเขามาก

ตอนนั่งรถเข้าไป ทางก็ขรุขระ ฝุ่นตลบ แต่พอเห็นที่พักเท่านั้นแหละ ทุกอย่างหายเหนื่อย เราสองคนได้แต่ร้อง "ว้าว ว้าว" แม้แต่ Gian Carlo เองยังบอกว่า น่าจะมาถึงเร็วกว่านี้ ที่พักสวยมาก

ห้องพักใหญ่โต ที่นอนกลิ้งเกลือกได้ ตามความพอใจ
วิวจากระเบียงห้องพัก
วิวจากระเบียงห้องพัก
บ้านพักที่นี่ส่วนมากจะเป็นสองชั้น เป็นหลัง ๆ พักแยกชั้นล่าง และชั้นบน ตลอดรีสอร์ทมีลำธารน่ารักเล็ก ๆ 
ดิฉันกรี๊ดกร๊าดมากค่ะ
ส่วนของร้านอาหาร
ตอนเย็น ๆ ก่อนค่ำ ทางรีสอร์ทก็จะให้ชาวบ้านเอาของมาขาย
ประมาณเกือบทุ่มนึง เราก็ไปทานอาหารค่ำกัน เรียกได้ว่าเป็นอาหารค่ำมื้อแรกในทริปนี้ ที่เรียกได้ว่าเป็นอาหารจริง ๆ ไม่ใช่กระปิดกระปอยเหมือนที่ผ่านมา

ราคาอาหารไม่แพง แต่ไซส์จานที่เสิร์ฟนั้นเหมือนที่กินบ้านเรา (คือเล็กกว่าไซส์ที่เค้าเสิร์ฟในเมือง) เราสองคนสั่งกันมาสองอย่างคือ Salad Tailandese (ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับไทยทั้งสิ้น มันคือ ผักสลัดและผลไม้ ราดน้ำผึ้งและโรยงา แค่นั้นจริง ๆ) และ Pepper Steak ที่พอกินแล้วนึกถึง Steak ครูต้อ ที่สระบุรีทันที กินกันสองจานแค่นี้ กับน้ำเปล่า เสียไป 58 Soles (ประมาณ 580 บาท)

ชีวิตค่ำวันนี้ดีมาก ขนาดทานอาหารค่ำเสร็จตอนทุ่มครึ่งไปแอบงีบ ตื่นมาอีกทีมาอาบน้ำแช่เท้าอย่างสบายใจ.....ก่อนเพื่อนจะทักมาว่า "พรุ่งนี้รถไฟไป Argus Calientes เค้าให้ถือกระเป๋าเป้ไปได้แค่ใบเดียวนะ"

หันมามองกระเป๋าเป้ กระเป๋าผ้าแบบพับได้ กองผ้าของตัวเอง และของจิปาถะ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมซ้อมโดยการจับทุกอย่างยัดลงเป้

....ไม่ลง...ทำยังไงก็ยัดของไม่ลง เวิ่นเว้อไปพักใหญ่จนเกือบเที่ยงคืนว่าจะทำยังไงดี ยัดของไม่ลง กระเป๋าเพื่อนนั้น นางยัดลงของนางได้ แต่ก็เป๊ะมาก จนของเราไม่สามรถแทรกเข้าไปได้อีก

กรีดร้อง+โวยวาย ไปพักใหญ่ เพื่อนก็ไล่ให้ไปนอนแล้วค่อยคิดใหม่พรุ่งนี้

ก่อนนอนไม่ลืมออกไปชมความงามของท้องฟ้า และดาว ที่เยอะมว๊ากกกกกก
ฟ้าใสแจ๋ว ขนาดมองเห็นทางช้างเผือกได้เลย เสียดายมีไฟของรีสอร์ท ทำให้ถ่ายทางช้างเผือกไม่ได้

Sunday, November 1, 2015

ทริปแตะขอบฟ้า เปรู-บราซิล Day 3 : Lima - Cusco

วันนี้ไม่มีอะไรมาก เป็นวันปรับตัวให้อยู่ได้กับความสูง กว่า 3,400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ยังแอบเสียดายว่าคืนก่อนหน้า น่าจะมีโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศผับบาร์แถว Barranco

ชิวมาก 09:00 ถึงจะออกจากโรงแรม โดยรถ taxi ของโรงแรมในราคา 60 Soles เหมือนเคย
ไฟลท์ของเราคือ LA2031 to Cusco 12:05-13:25 ตอนจอง พลาดที่จองช้าไปมัวแต่ลังเลปรากฏว่าได้ค่าตั๋วที่แพงมาก ตกเป็นเงินไทยคือเกือบ 7,000 บาทแน่ะ

จากที่พักย่าน Mira Flores เพียง 45 นาทีก็ถึงสนามบินแบบฉิว ๆ คงเพราะเป็นวันอาทิตย์ด้วย
เช็คอินผ่านไปได้ด้วยดี ค้นพบว่าที่สนามบิน Lima มีร้านอาหารเยอะมว๊ากก ด้านนอกฝั่ง Departure น่าโดนเป็นที่สุด เสียดายเราอิ่มมาแล้วและเวลาไม่เยอะเลยไม่ได้ชื่นชม

เครื่องบิน LAN Peru พอจะโอเค แต่ไม่ใหม่เท่าตัวเครื่องตอนบินข้าม Sao Paolo มา Lima เที่ยวบินนี้ใช้เวลาบินแค่ 1 ชั่วโมงนิด ๆ เป็น 1 ชั่วโมงที่ไม่เบื่อเลย ตื่นเต้นตลอด ๆ เพราะวิวจากบนเครื่องบิน...เรานั่งฝั่งซ้าย แต่ไม่รู้ว่าฝั่งขวาจะเห็นสวยเหมือนกันไหม โชคดี อากาศเป็นใจท้องฟ้าใสปิ๊ง ๆ เมฆแทบไม่มี ยิ่งตอนเครื่องกำลังจะลง ซึ่งต้องบินอ้อมเขาและกลับลำมาลง run way นี่ลุ้นแทนกัปตันจริง ๆ สมเป็นเมืองในหุบเขา

วิวสวย ๆ กับยอด snowcap moutains ที่ทำเราลั้นลาตลอดเที่ยวบิน


พอเครื่องบินลงจอด สติก็มาทันทีว่า ทุกอย่างเราต้องทำช้า ๆ เพื่อป้องกัน การป่วยจากความสูง หรือต่อไปนี้จะเรียกว่า AMS (Acute Moutain Sickness) ถึงแม้ในใจจะแอบกระหยิ่มมาบ้างว่าเคยไป Trek Annapurna ที่ 4,300 มาแล้วอย่างสบาย ๆ แต่ครั้งนี้คือไม่มีการปรับตัวไง จากระดับน้ำทะเลก็พรวดมาที่ 3,400 เลย อากาศที่ Cusco นี่เรียกว่าหนาวเลย ยิ่งอยู่ในที่ร่มนี่ต้องมีเสื้อหนาวอะ // อ๊อ ก่อนมาเรากับเพื่อนเตรียมยา Diamox มา เพื่อป้องกัน AMS เริ่มทานกันตั้งแต่วันมาถึง Lima แบ่งกันครั้งละ ครึ่งเม็ด กินเช้าเย็น

ลากกระเป๋าออกมาที่ Arrival Hall ก็เจอ Taxi ที่เราติดต่อไว้ก่อน ยืนถือป้ายชื่อยิ้มร่าอยู่แล้ว ตกลงราคากันไว้ก่อนที่ 20 Soles

โรงแรมที่เราพักครั้งนี้คือ WaraWara Hostal จากสนามบิน 20 นาที พอมาถึง Plaza Armas กลางเมืองก็ต้องขึ้นเนินที่ชันมาก+ลัดเลาะตรอกซอยที่ไม่คิดว่ารถจะเข้าได้ขึ้นไปยังโรงแรม คนขับต้องนับว่าเซียนจริง ๆ เพราะถนนนี่เป็นแนว Cobble Stones แถมแคบมาก ๆ อีกต่างหาก

เจ้าของที่พักเป็นชายหนุ่มรูปหล่อคาดว่าเป็นต่างชาติเพราะพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก มีภรรยาเป็นชาวเปรู มีลูกชายน่ารักวัย 3 ขวบ และสุนัขชเนาว์เซอร์ 1 ตัวที่เฟรนด์ลี่สุด ๆ ชื่อ ติโต้ (ทั้งหมดนี่จำได้แค่ชื่อ ติโต้) คือให้อารมณ์เหมือนไปพักบ้านเค้าอะ เพราะก็ต้อนรับกันบ้าน ๆ ด้วยชาโคคา อันเป็นชาที่ดื่มแล้วจะช่วยป้องกัน AMS คุณภรรยาใส่ใบโคคามาในแก้วชาซะนึกว่ากำลังกินสลัด..

ราคาที่พักครั้งนี้ คืนละ 48 USD พร้อมอาหารเช้า คือที่เลือกโรงแรมนี้เพราะเพื่อนดูมาว่าเห็นวิวเมือง Cusco สวย ๆ และตั้งใจเลือกห้องแบบ Triple ซึ่ง"คาดว่า" จะได้นอนชมวิวเมือง แต่เอาเข้าจริงคือ ดันมีทางเดินคั่นระหว่างหน้าต่างกับหน้าต่างอีกที ทำให้ถ้าเราจะชมวิวเมืองจากบนเตียง คนใน Hostel ก็จะได้ชมเราด้วย

เจ้าของ Hostal อธิบายอย่างดีว่าจากที่นี้ไปเที่ยวกลางเมืองได้สะดวกมากมาย มีบันไดลงไปถึง Plaza Armas เลย เดินแค่ 5 นาที...ซึ่งก็จริง


เพียง 5 ก้าวจากโรงแรมก็ถึงบันได บันได และบันได ลงไปยัง Plaza Armas ทางลงไปก็สวยดีอยู่หรอก บ้านเรือนและร้านค้านี่ตกแต่งอย่างน่ารัก แต่ยิ่งเราลงไปก็สำนึกได้ว่า เราก็ต้องขึ้นมาเท่านั้น (น่าจะประมาณ 300 เมตร) ทั้งนี้ก็ไม่คิดมาก ลั้นลากันแบบลืม AMS ไปเลย

ตามแพลนคือบ่ายนี้เราจะเที่ยว Cusco เริ่มจาก Plaza Armas และเดินไปเข้าโบสถ์ San Francisco มีต้องเสียค่าเข้า แต่บอกเลยว่า คุ้มค่ามาก โบสถ์สวยงาม แถมเดินขึ้นมาถ่ายรูป Plaza Armas ได้สวย ๆ




จากโบสถ์ San Francisco เราก็เดินเล่นกันในเมือง Cusco เป็นเมืองที่น่ารัก ถนนหนทางก็สวย น่าเดินเล่น ไหนจะร้านอาหาร ร้านค้า เรียกว่าเพลินอะ จุดเด่นอันนึงของเค้าคือ พื้นถนนที่เป็นหินก้อน ๆ แนว Cobble Stones และอาคารต่าง ๆ ที่มีส่วนฐานกำแพงเป็นแบบภฺมิปัญญา Inca ดั้งเดิมคือเป็นหินมาเรียงกันอย่างแนบสนิทมั่นคง  แต่ด้านบนก็เป็นปูนให้อารมณ์แบบอยู่ในสเปน


เกือบบ่ายสี่ เราสองคนเพิ่งจะหิว หันไปเห็นร้าน Los Angeles ระหว่างทางเดินจาก Plaza Armas ไปตาม Calle de Santa Clara ก็ไปสะดุดกับร้าน Polleria Los Angeles ซึ่งคาดว่าต้อง Local แน่นอน เพราะชื่อมันดูอเมริกันมาก (นักท่องเที่ยวคงไม่เข้า) ได้ข่าวว่ามาเปรู ต้องกิน Pollo Alla Brasa ซึ่งเป็นประมาณไก่อบ+ย่าง


เป็นจริงดังคาดว่าร้าน local จริง ๆ เพราะไม่มีเมนูภาษาอังกฤษเลย อาศัยความรู้ภาษาอิตาเลียนที่มีพอจะสื่อสารได้ เลยสั่งไก่แบบ 1/4 ตัวมา 1 จาน และน้ำเสาวรส (maracuyá)

Pollo = Chicken // Juga = Juice // Passion Fruit = Maracuyá

น้ำเสาวรสอร่อยเด็ดมาก 6 Soles มาเป็นเหยือก จานไก่ก็ใหญ่มาก กินกันจนพุงกาง หมดไป 12 Soles

อิ่มแล้วเราก็เดินเล่นต่ออย่างเพลิดเพลิน ไป supermarket ซื้อ Inka Corn (อร่อยมากควรหาซื้อ) ลูกอม coca candy (แนะนำเลือกแบบที่ตัวลูกอมห่อด้วยกระดาษ คุณจะได้รสใบโคคา แบบเต็มที่ไม่หวานเกินไป) และผลไม้ เก็บไว้เป็นเสบียงเวลาออกต่างจังหวัด พูดถึงผลไม้ เปรูเป็นประเทศที่น่าอิจฉามาก เพราะปลูกได้ตั้งแต่ผลไม้เมืองหนาวยันเมืองร้อน อร่อยซะด้วย เดือนที่เราไป ฟินนมากกับ เสาวรส องุ่น กล้วย แอ๊ปเปิ้ล และส้ม

สีถุงแบบนี้เลย รส original


จุดที่เค้าต้องไปเที่ยวกันเมื่อมาถึง Cusco คือหิน 12 มุม อันเป็นที่ฮิต ซึ่งแสดงถึงภูมิปัญญาทางด้านสถาปัตยกรรมระดับเทพ ชาวอินคาบรรจงสกัดหินก้อนหนึ่งจนมี 12 มุมเพื่อประกบกับหินก้อนอื่นจนแนบสนิท พอดีเราไม่ค่อยสนใจอะไรที่เป็น Tourist spot มากนัก แถมตรงจุดนั้น (ซึ่งอยู่ในตรอกแคบ ๆ) ก็แออัดด้วยนักท่องเที่ยวและกรุ๊ปทัวร์ซึ่งต่างคนต่างก็พยายามจะไปถ่ายรูปกับหินก้อนนั้น เราสองคนก็เลยเลือกเดินชมเมืองทั่ว ๆ ไปดีกว่า

**คู่ควรอย่างยิ่งกับการช้อปปิ้งเลือกซื้อคือ Chocolate ของ Republica Del Cacao ที่มีร้านใน Cusco และจริง ๆ ตามสนามบินก็มี แต่ที่เด็ดแถบนี้คือ Chocolate Bar with Coca Leaves ที่ใส่ใบ Coca แห้งสับลงไปด้วย ในร้านจะมี Chocolate หลากหลายสุด ๆ ให้เลือก **

เดินแป๊ป ๆ หกโมง ก็มืดแล้ว ตอนกลางคืนที่ Cusco บรรยากาศโรแมนติกมากสมคำร่ำลือ




19:00 ฟ้ามืดสนิทแล้ว อาการ AMS เริ่มแผลงฤทธิ์คือ ปวดหัวอ่อน ๆ ... เป็นว่า ถึงเวลากลับที่พัก

จะเฮือกก็คือ เมื่อเห็นบันไดทางขึ้นจาก Plaza Armas กลับที่พักนี่แหละ ถึงขั้นต้องเรียกสติตัวเองอีกครั้ง ตกลงกับเพื่อนกันว่า เราจะเดิน 5 ขั้นแล้วหยุด 5 วิ แล้วเดินต่อ  เพื่อไม่ให้เหนื่อย ... มี trick จากการสังเกตคนท้องถิ่นที่เดินขึ้นคือ เดิน zig zag ขึ้น

พอมาถึงที่พัก อาการ AMS ที่ทำให้ปวดหัวนั้นไม่เท่าไร แต่มันทำให้เราไม่อยากอาหาร (เป็นอาการเริ่มต้นชนิดหนึ่ง แต่เราปล่อยไปไม่ได้ต้องพยายามกิน) วันนี้เลยแค่ขอน้ำร้อนจากที่พักมาใส่มาม่าต้มยำ 1 ซอง แล้วแบ่งกันกินกับเพื่อน ก่อนกลับเข้าห้องไปแบ่งกระเป๋าส่วนที่จะใช้เดินทางไป Machu Picchu

หลับไปแบบยังปวดหัวอ่อน ๆ หวังว่าวันรุ่งขึ้นจะหาย

วิวจากระเบียงที่พัก หันไป Plaza Armas

วิวจากที่พักเช่นกัน หันไปทางภูเขา

Wednesday, October 21, 2015

ทริปแตะขอบฟ้า เปรู-บราซิล Day 2 : Lima


หลับสนิทอย่างดีตลอดคืน อากาศกำลังสบายไม่ต้องเปิดแอร์
ตื่นอีกทีคือ 06:30 โปรแกรมอย่างแน่นอะวันนี้

07:30 ทานอาหารเช้าในโรงแรม เป็นผลไม้ดูดี ขนมปัง และ Scramble Egg แบบบ้าน ๆ ที่เหมาะเจาะกับ Maggie ที่เตรียมมา แต่แปลกคือ มีชากาแฟให้ฟรี แต่ไม่มีน้ำเปล่าให้ ถ้าจะดื่มน้ำเปล่าต้องเสีย 2 Soles ค่าน้ำเปล่า แปลกจริง

สภาพห้องอาหารเช้า
Lobby

หน้าโรงแรมมีลูกกกรงอย่างดี
เราวางแผนกันไว้ว่าเราจะทัวร์ Lima ด้วย Turibus เพราะเราไม่เน้นเที่ยวเมืองแต่ก็อยากจะเก็บจนครบ เลยเลือกใช้ทัวร์แบบนี้ดีกว่า ก่อนออกจากโรงแรมเจ้าของโรงแรมถามเราว่าจะไปไหนพอเราบอกเค้าก็เลยบอกเส้นทางไปเจอ Turibus และโทรไปจองที่ไว้ให้ (คือจริง ๆ ไม่ต้องจองก็ได้ไม่มีคนเลย)

เราเลือก Turibus (ตูริบุส) เพราะที่ขึ้นคือห้าง Lacorma ใกล้ ๆ กับโรงแรมเรานั่นเอง รถออกเวลา 09:15 (เราเลือกทัวร์เต็มวัน) เดินจากโรงแรมประมาณ 5 นาที 

ที่แปลกนิดนึงคือห้าง Lacorma เป็นห้างที่สร้างอยู่ใต้ดิน โดยการเซาะหน้าผาเข้าไป ฉะนั้นเวลาเราเดินบนถนนจะไม่เห็นตัวห้างเลย ตัวห้างนี้มีร้านรวงเรียงรายอยู่มากมาย สวยมาก บรรยากาศดี ทะเลก็สวย แต่เราก็ดื่มด่ำยังไม่ได้เพราะต้องไปซื้อตั๋วรถบัสที่ Booth Turibus (พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้อย่างดี) ในตัวห้างแล้วค่อยไปขึ้นรถ

ระหว่างทางไป Booth Turibus อาจเจอพ่อค้ามาเสนอขายรถ Sightseeing Tour อื่น ๆ บ้างและอ้างว่าราคาถูกกว่า แต่เพื่อความชัวร์ เราก็เอาอันที่คิดไว้นี่แหละ // ที่เคาน์เตอร์ เราจ่ายเป็นเงินสดก็ได้ เงินดอลล่าร์ก็ได้ บัตรเครดิตก็ได้ แต่ของเราเราจ่ายเป็นเงิน Soles เพราะแลกมาจึ๋งนึงจากสนามบินแล้ว

09:15 รถบัส 2 ชั้นเปิดหลังคาสีเหลืองเด่น ก็มารับ คนน้อยดี ประมาณ 10 คนรวมเรา 

รถ Bus สองชั้นที่คนโล่งสุด ๆ
คาดว่ารถเปิดหลังคาแบบนี้ ถ้ามีแดด และอากาศร้อน คงไม่ไหวเป็นแน่ เช้านี้เราเริ่มจากย่าน Barranco ย่านฮิปไฮโซของลิม่า รถขับเลาะชายฝั่งไป amazing มาก สองข้างบรรยากาศดี ทะเลสวย บ้านเรือนมีสีสันฉูดฉาด บางหลังก็วาดรูปตกแต่งดูอาร์ทสุด ๆ 

สะพานที่ว่ากันว่าถ้าขอพรแล้วกลั้นหายใจเดินจนข้ามสะพานได้ พรจะสมหวัง
ผับ บาร์ ร้านอาหาร ทาสีสันฉูดฉาด มีเพ้นท์ลาย ดูดีมาก

จบย่าน Barranco ซึงสมควรแก่การมาชม และถ้ามีเวลาเพิ่มเติมก็ควรมาใช้เวลาตอนเย็นที่นี่ด้วย

10:30 น. รถ Turibus วนกลับมาที่ Lacorma เพื่อรับคนเพิ่ม (สำหรับคนที่เลือกทัวร์ครึ่งวัน) ซึ่งก็มีคนขึ้นมาเพิ่มอีกแค่สามสี่คน คราวนี้เราจะเข้าไปชม Downtown กัน

ระหว่างทางไป Downtown ไม่ค่อยรื่นรมย์เท่าไร เพราะรถติด และกลิ่นท่อไอเสียก็มาปะทะจมูกอยู่เนือง ๆ // แต่การได้นั่งรถสองชั้นก็ดีนะ ได้เห็นชีวิตผู้คน โดยเฉพาะพวกร้านรถเข็นที่ขาย ข้าวโพดต้ม ร้านน้ำปั่น ร้านขายไข่นกกระทาต้ม(อันนี้อยากแนะนำให้เค้ารู้จักแม๊กกี้) ขายแป้งทอดคล้าย ๆ ปาท่องโก๋...เริ่ดอะ

ซัก 20 นาที รถก็มา drop off พวกเรา พร้อม English Speaking Guide หนึ่งคนที่ Plaza Major ใจกลางเมือง รายล้อมด้วยอาคารแนว Europe ดูดีมีสีสัน

Plaza Major

ถนนทางเดินไปโบส์ San Francesco บ้านเมืองดูดีสีสันงดงาม แค่แออัดไปหน่อย
จาก Plaza Major คุณ Guide พาเราเดินประมาณ 4 นาทีก็มาถึง Basilica of San Francesco โบสถ์เก่าก่ประจำเมือง เราเริ่มทัวร์โบสถ์แห่งนี้ด้วยการลงไปเยือน Catacombs ซึ่งมีโครงกระดูกนับร้อย ๆ เรียงรายให้เห็นอย่างใกล้ ถ้าใครขวัญอ่อนก็คงผวาอยู่แหละ มีนักท่องเที่ยวบางคนไม่กล้าลงไป ก็แหงล่ะ ทางเดินแคบมาก ๆ

ด้านหน้าโบสถ์

ภายในโบสถ์ ซึ่งสวยไม่แพ้ภายนอก ไกด์ก็อธิบายไป แต่เราจำไม่ค่อยได้
จบ Tour ประมาณบ่ายโมง (คุ้มค่ามาก) รถมา Drop ที่หน้าห้าง Larcoma เช่นเดิม // จากจุด Drop Off เราเลือกไปเดินเล่นแถวถนน Jose Larco (พอดีสังเกตเห็นตอนรถแล่นผ่านว่ามีร้านรวงเยอะดี) 

ประจวบเหมาะกับเพื่อนอ่านมาพอดีว่า มีร้านอร่อย แนะนำโดย Lonely Planet อยู่แถวนั้น เราก็เลยหิ้วท้องไปร้าน Punto Azul // ไปถึงร้านตอน 14:00 มีคิวเล็กน้อย แต่ก็คุ้มค่า เพราะอาหารดีงามมากกกกกก จริง ๆ อร่อยมาก วัตถุดิบดี เมนูเริ่ด ไม่แพง หลัก ๆ คืออาหารทะเล

Cheviche อาหารท้องถิ่นของเปรู ทำจากปลาดิบและอาหารทะเลสุกบางส่วน ปรุงรส+ใส่ผักประกอบ เหมือนยำบ้านเราเป๊ะ

เราสั่งมาแค่สองจาน กับ 1 น้ำมะม่วง อีกจานคือประมาณ Seafood Fritto เป็นอาหารทะเลชุปแป้งทอดกับสลัด เอาเป็นว่า สั่งมาแค่ 2 อย่างกับ 1 น้ำมะม่วง ก็อิ่มจนท้องจะแตกกกก เพราะจานใหญ่มากจริง ๆ ส่วนรสชาตินั้น ขอแนะนำให้มาโดน

---พอท้องอิ่ม เราก็ดำเนิน mission เราต่อ ซึ่งก็คือ "แลกเงิน" เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์ ธนาคารหยุด เราเลยต้องเลือกแลกกันที่ "Casa Cambio" หรือร้านแลกเงิน--แต่ก็แปลกอะ บนถนนนี้ มีที่ให้แลกตั้ง 3 แห่ง เรทก็ดูดีพอโอเค แต่พอเข้าไปที่ร้าน เค้าไม่ขายเงิน Soles อะ เค้าไล่ให้ไปแลกเป็น Soles กับคนข้างนอกที่ยืนถือปึกเงิน Soles อยู่หน้าร้าน (เป็นหมดทั้ง 3 ร้าน) ดูไม่น่าไว้ในเลย เราเลยแลกกันแค่ 300 USD โทษฐานไม่น่าไว้ใจ

บนถนนสายนี้มีสวนสาธารณะ John F Kennedy เป็นสวนเล็ก ๆ แต่ตอนไปดอกไม้สวยมาก และที่สำคัญ แมวเยอะมาก เชื่องมากด้วย คนผ่านไปมาก็เล่นกะแมว น่ารักดีอะ แถวนี้คือมีชีวิตชีวาดีมาก รอบสวนสาธารณะก็จะมีศิลปินเอาภาพวาดของตัวเองมาตั้งขายเรียงราย ส่วนภายใน park เพราะเป็นวันเสาร์ เค้าก็เลยเหมือนมีการเปิดดนตรีให้คนแก่ ๆ มาเต้นกัน (เพลงเร็วด้วยนะ)



---Mission ถัดมาคือ ไปซื้อ perurail เพราะจองผ่าน online แล้วมีปัญหาเรื่องการตัดบัตร // office perurail อยู่ในห้าง Larcoma เลยสะดวกมาก และดีนะ ที่รีบมาซื้อก่อน ไม่งั้นรถไฟคงเต็มหมด เพราะขนาดมาก่อน เที่ยวรถไฟที่อยากจะได้ยังเต็มเลย เจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี จ่ายเงินได้ด้วยบัตรเครดิตและเงินสด แต่เสียดายที่เลือกที่นั่งบนรถไฟไม่ได้ ต้องให้ระบบ Generate มาเอง



มีเวลาเดินไปชมพระอาทิตย์ตกริมหน้าผา คือสวยมากจริง ๆ คุ้มค่าควรมา

เพราะเพิ่งอิ่มพุงแตกมา เลยคิดว่าไม่กินข้าวเย็นละกัน
 เราเลยเดินไป super market ในห้าง ซื้อ องุุ่น บลูเบอรี่ Cheese Yogurt ข้าวโพด


ในห้าง Larcoma เองก็น่าเดิน ร้านอาหารก็น่าเข้า



ข้าวโพดต้ม เม็ดยักษ์ สมคำร่ำลือ ประมาณ 40 บาท

บลูเบอรี่อย่างหอม หวาน อร่อย ประมาณ 80 บาท

ค้นพบว่า ประเทศนี้ ผลไม้อร่อย หวาน และ โคตรถูก องุ่นยักษ์อย่างดี กิโลละ 66 บาท พวกผลิตภัณฑ์นม ชีส โยเกิร์ต ก็ดีงามเช่นกัน แค่ตอนเลือกชีส อาจต้องระวังหน่อย ชีสท้องถิ่น(สีขาว ๆ นิ่ม ๆ) ซึ่งดูน่ากิน จริง ๆ กลิ่นแรงมาก กินไม่ได้

Blogger templates